บทที่1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแปล
บทที่ 1
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแปล
ความสำคัญของการแปล
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีความสำคัญกับคนทั่วโลก เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกับคนทั่วโลก ใช้ในด้านการพานิชย์ ธุรกิจ และเป็นภาษาปฏิวัติอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ ดังนั้นเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันระหว่างประเทศ ทำให้การแปลมีความสำคัญมากขึ้น ผู้ที่ทำหน้าที่แปลจะต้องถ่ายทอดจากภาษาหนึ่งไปยังภาษาหนึ่งเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ โดยที่คนแปลต้องมีการคิดวิเคราะห์และตีความถ้อยคำที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จึงจะทำให้งานแปลมีประสิทธิภาพ
การแปลในประเทศไทย
การแปลเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชการที่5 ตอนที่พระนารายณ์มหาราชส่งโกษาปานไปเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ และมีการแปลเอกสารต่างๆเพื่อติดต่อการค้า การแปลเริ่มมีบทบาทต่อประเทศไทยในช่วงของความก้าวหน้าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีตัวแทนและที่ปรึกษาชาวต่างประเทศด้านต่างๆ เช่น สังคม เศรษฐกิจ การค้า เป็นต้น และมีการนำรายได้เข้าสู่ประเทศ อีกทั้งยังมีการแปลตำราต่างๆเป็นภาษาไทยอีกด้วย
การแปลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่
ผู้ที่แปลจะต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้านวัฒนธรรม และมีการติดตามวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่อยู่ตลอด และต้องใช้เวลาให้คุ้มค่ากับการแปลด้วย
การสอนแปลในระดับมหาวิยาลัย
เป็นการสอนเกี่ยวกับไวยากรณ์ โครงสร้างภาษาอังกฤษ และการอ่านเพื่อความเข้าใจ
การแปลคืออะไร
การแปล เป็นการถ่ายทอดความคิดจากต้นฉบับออกเป็นภาษาที่ต้องการ โดยยังมีใจความครบสมบูรณ์ทุกประการ โดยมีศิลปะในการแปล ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและความรู้ของผู้แปลด้วย
คุณสมบัติของผู้แปล
ผู้แปลต้องมีความรู้ความเข้าใจในด้านภาษา สามารถถ่ายทอดความคิดให้ผู้อื่นเข้าใจได้ มีความเสียสละอดทน และมีความรับผิดชอบ
วัตถุประสงค์ของการสอนแปล
1. เพื่อผลิตนักแปลที่มีคุณภาพ
2. เพื่อให้บรรลุตามทฤษฎีวิชาแปล และให้ผู้แปลเกิดทักษะด้านการอ่านและการเขียน
3. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในด้านภาษาและสามารถถ่ายทอดความคิดออกมาได้ครบถ้วน
4. เพื่อให้ผู้ที่เรียนแปลได้มีการเตรียมตัวก่อนที่จะไปประกอบอาชีพ
บทบาทของการแปล
ผู้แปลเป็นตัวกลางที่สำคัญในการแปลระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร
คุณสมบัติของนักแปล
1. คุณสมบัติส่วนตัว ได้แก่ มีใจรักงานแปล มีความสามารถในการอ่าน มีความมุ่งมั่นตั้งใจและมีจรรยาบรรณของนักแปล
2. ความรู้ มีความรู้ในภาษาทั้งสอง ชอบค้นหาความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ มีความรู้เฉพาะด้านในงานที่แปล และมีความรู้ภูมิหลังทางวัฒนธรรมประเพณีของชาติที่เป็นเจ้าของภาษา
3. ความสามารถ มีความสามารถในการตีความภาษาต้นฉบับ การส่งสาร และมีความคิดริเริ่ม
4. ประสบการณ์ มีการฝึกฝนการแปลอยู่เสมอ มีความรู้ความเข้าใจในงานที่แปลและรู้จักหาจุดดีและจุดบกพร่องจากงานแปลของคนอื่นๆ
ลักษณะของงานแปลที่ดี
งานแปลควรมีเนื้อหาที่เป็นจริงตามต้นฉบับและใช้ภาษาสละสลวยในการแปล
ลักษณะของงานแปลที่ดี
งานแปลที่ดีต้องมีความหมายตรงตามต้นฉบับและใช้ภาษาที่สละสลวย
การให้ความหมายในการแปล
เป็นการแปลที่ใช้รูปแบบประโยคต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกัน และ การตีความหมายจากบริบทของข้อความต่างๆ
การใช้ปัจจุบันกาล มี 2 รูปแบบ คือ ปัจจุบันกาล(Simple Present) และอนาคตกาล(Progressive Present) ซึ่งความหมายของปัจจุบันกาลมีโครงสร้างประโยค คือ เป็นการกระทำที่ทำเป็นนิสัยเป็นกฎธรรมชาติ เป็นสถานภาพของปัจจุบัน อนาคตกาลและเป็นปัจจุบันกาล ซึ่งการใช้ปัจจุบันกาลในการแปล ผู้แปลต้องเปรียบเทียบโครงสร้างภาษาไทย เพื่อดูส่วนที่เหมือนและต่างกัน
การแปลภาษาอังกฤษเป็นไทย ต้องคำนึงถึงความหมายดังนี้
1. อนาคตกาล(The Progressive Present) เป็นการเปรียบเทียบระหว่างปัจจุบันกาลกับอนาคตกาล มีคำบอกเวลาได้แก่ always และ often
2. โครงสร้างของไวยากรณ์และโครงสร้างในประโยคอื่นๆมีความซับซ้อนมาก
3. ศัพท์เฉพาะของเรื่องที่แปล
4. ตีความทำนาย จะต้องแปลเป็นภาษาทั่วๆไป
การแปลกับการตีความจากบริบท
การแปลความหมายโดยดูจากบริบทของข้อความ ซึ่งต้องแปลออกมาเป็นความคิดรวบยอดก่อน(concept) แล้วจึงสรุปเป็นความหมายออกมา
การวิเคราะห์ความหมาย
มี 3 องค์ประกอบ ดังนี้
องค์ประกอบของความหมาย
1. คำศัพท์ คำศัพท์แต่ละคำมีความหมายต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับบริบทต่างๆ
2. ไวยากรณ์ เป็นแบบแผนจัดเรียงคำในภาษา
3. เสียง ประกอบด้วยเสียงสระและเสียงพยัญชนะ
ความหมายและรูปแบบ
1.ในแต่ละภาษามีหลายความหมาย
2. หนึ่งรูปแบบอาจมีหลายความหมาย ขึ้นอยู่กับบริบทเป็นสำคัญ
ประเภทของความหมาย
1. ความหมายอ้างอิง เป็นการบอกความหมายโดยตรง เช่น ความคิด มโนภาพ เป็นต้น
2. ความหมายแปล เป็นความรู้สึกทางอารมณ์ทั้งทางบวกและลบ ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของภาษาแบะภูมิหลังของคน
3. ความหมายตามบริบท มีหลายความหมาย ดูจากบริบทแวดล้อม
4. ความหมายเชิงอุปมา เป็นการเปรียบเทียบ ได้แก่ สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ(topic) สิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ(illustration)และประเด็นของการเปรียบเทียบ(point of similarity)
การเลือกบทแปล
การเลือกบทแปลต้องคำนึงถึงความรู้ด้านทักษะทางภาษาที่ผู้เรียนจะได้รับและได้มีโอกาสได้รู้คาวมบกพร่องต่างๆในงานแปลของตน
เรื่องที่จะแปล
ควรเลือกหนังสือที่เป็นหลักวิชาที่ได้รับการยอมรับในสาขาวิชานั้นๆมีการเรียบเรียงที่เป็นสากลและใช้ภาษาแปลได้อย่างถูกต้อง
วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558
Introduction of Translation
ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อโครงสร้าง
ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อโครงสร้าง
คำว่าโครงสร้าง(structure) ซึ่งพจนานุกรม The American Heritage Dictionary of the English Language (1980:1278) ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้
1. a complex entity (ภาษามีโครงสร้าง)
2. The configuration of element (ภาษามีส่วนประกอบมากมาย)
3. The interrelation of parts or the principle of organization. (ส่วนประกอบในภาษามีความสัมพันธ์กัน หรือมีการจัดระเบียบของความสัมพันธ์)
โครงสร้างเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเรียนรู้ภาษา หากเราไม่มีความรู้ในเรื่องของโครงสร้างทางภาษาเราก็จะไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ หรือแม้ว่านักแปลมีความรู้เรื่องคำศัพท์แต่ไม่เข้าใจโครงสร้างภาษา ก็จะทำให้การแปลล้มเหลว ซึ่งพบว่าปัญหาทางโครงสร้างเป็นปัญหาหลักของผู้แปล
ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ
ชนิดของคำเป็นส่วนที่สำคัญของโครงสร้างภาษาอังกฤษ เมื่อเราสร้างประโยคเราจะต้องเลือกชนิดของคำให้ตรงกับหน้าที่ทางไวยากรย์ จึงจะทำให้ประโยคนั้นเกิดความหมายที่ถูกต้องตามไวยากรย์ อย่างไรก็ตามเราก็ควรคำนึงถึงการนำคำไปใช้จริงด้วย
1. คำนาม จะมีความสำคัญเฉพาะในภาษาอังกฤษ ในทางไวยากรย์เป็นลักษณะที่สำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้
1.1) บุรุษ(person) เป็นประเภทที่บอกว่าคำนามหรือคำสรรพนามหมายถึงผู้พูดบุรุษไหน ซึ่งมีการแยกตามบุรุษที่1 2 และ3 แต่ในภาษาไทยไม่มี
1.2) พจน์ (number) เป็นคำที่บอกจำนวน ในภาษาอังกฤษมี Determinerได้แก่ a/an นำหน้าคำนาม เอกพจน์ และการเติม –s ที่ท้ายท้ายศัพท์เพื่อทำเป็นพหูพจน์ แต่ในภาษาไทยจะไม่มี เพราะถือว่าหากใช้พจน์ก็จะทำให้เป็นภาษาไทยที่ไม่ถูกต้อง
1.3) การก (case) เป็นตัวชี้ว่าคำนามนั้นมีหน้าที่อะไร มีความสัมพันธ์กับคำอื่นอย่างไร เช่น The dog bit the boy. (มี dog เป็นผู้กระทำ) ซึ่งต่างกับ The boy bit the dog.(มีdogเป็นผู้ถูกกระทำ) นอกจากนี้ยังมีการกที่แสดงความเป็นเจ้าของ จะมีการเติม 's เช่น The teacher 's book.(หนังสือของครู) ซึ่งในภาษาไทยไม่มีการเติมหน่วยคำเพื่อแสดงการก แต่จะเรียงคำเหมือนการกในภาษาอังกฤษแต่การกเจ้าของในภาษาไทยต่างกับภาษาอังกฤษ เช่น “หนังสือครู” กับ “ครูหนังสือ”
1.4) นามนับได้ กับนามนับไม่ได้ (countable and un countable noun ) ในภาษาอังกฤษนามนับได้เอกพจน์ใช้ a/an และเติม 's กับนามนับได้พหูพจน์ ส่วนนามที่นับไม่ได้ก็ไม่ต้องเติม คำเหล่านี้ เช่น a grass of water ส่วนในภาษาไทยคำนามทุกคำสามารถนับได้ เพราะมีการใช้คำลักษณะนาม เช่น แมว 1 ตัว บ้าน 1 หลัง เป็นต้น
1.5) ความชี้เฉพาะ (definiteness) คำเหล่านี้จะมีความสำคัญในภาษาอังกฤษ เป็นการแยกความแตกต่างระหว่างคำนามชี้เฉพาะ(definiteness)กับคำนามไม่ชี้เฉพาะ(indefiniteness) โดยใช้ a/an และ the ตามลำดับ เช่น The man came to see you this morning. และ A man came to see you this morning. ส่วนในภาษาไทยนั้นจะไม่มีการใช้คำเหล่านี้ ดังนั้นเมื่อคนไทยแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษจะต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
2. คำกริยา เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของประโยคและมีความซับซ้อน เพราะมีเรื่องไวยากรณ์มาเกี่ยวข้อง ดังนี้
2.1) กาล (tense) ในภาษาอังกฤษต้องใช้บอกว่าเป็นอดีตหรือไม่ใช่อดีต แม้ว่าจะมีความหมายเหมือนกัน เช่น Mary likes him.กับ Mary liked him. ดังนั้นกาลจึงมีความจำเป็นในภาษาอังกฤษ แต่สำหรับในภาษาไทยไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ
2.2) การณ์ลักษณะ(aspect) บอกลักษณะของการกระทำหรือเหตุการณ์ ในภาษาอังกฤษใช้ (progressive aspect = V. to be+ present participle) เช่น This time last year I was climbing in the Alps. หรือใช้ (perfective aspect = V. to be+ past participle) เช่น He has been unhappy for the last three days and he still looks miserable. การณ์ลักษณะในภาษาอังกฤษจะติดกับกาลเสมอและถ้าหากประโยคมีกริยาหลายตัว กาลของกริยาจะต้องมีความสัมพันธ์กันในเรื่องของเวลาด้วย ส่วนในภาษาไทยถ้าเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องใช้คำว่า “กำลัง” หรือ “อยู่” เช่น ตอนนนี้เรากำลังรับประทานอาหารอยู่
ดังนั้นในภาษาอังกฤษการณ์ลักษณะเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะทุกประโยคจะต้องบอกเวลา แต่ในภาษาไทยไม่มีความสำคัญเพราะผู้อ่านสามารถตีความจากบริบทนั้นๆได้
2.3) มาลา(mood) ใช้กับคำกริยา เป็นตัวที่บอกว่าผู้พูดมีทัศนคติต่อเหตุการณ์หรือเรื่องที่พูดอย่างไร มีใช้แต่ในภาษาอังกฤษ เช่น เป็นประโยคสมมติที่เป็นไปได้หรือเป็นประโยคที่เปรียบเทียบบางสิ่งเสมือนอีกสิ่ง จะไม่ใช้กริยารูปธรรมดาแต่จะมีการเปลี่ยนรูปคำกริยา เช่น I wish I could fly. (กริยารูปปกติคือ can) ส่วนในภาษาไทยมาลาถูกแสดงโดยกริยาช่วยหรือวิเศษณ์ ไม่เปลี่ยนกริยา เช่น น่าจะ คงจะ บางที เป็นต้น
2.4) วาจก(voice) บอกความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับการกระทำโดยคำกริยา ว่าเป็นประธานหรือกรรม เช่น Frogs'legs are eaten in France. ส่วนในภาษาไทยคำกริยาจะไม่เปลี่ยนและในการแปลภาษาไทยกับอังกฤษ ประโยคกรรมในภาษาอังกฤษไม่เหมือนกับประโยคกรรมในภาษาไทย เช่น The building was designed by a famous architect.(อาคารหลังนี้ออกแบบโดยสถาปนิก)
2.5) กริยาแท้กับกริยาไม่แท้(finite vs. non-finite) ในภาษาอังกฤษ ในหนึ่งประโยคจะมีกริยาแท้ได้ตัวเดียวเท่านั้นและสามารถมีกริยาไม่แท้ได้ ส่วนในภาษาไทยกริยาทุกตัวมีรูปเหมือนกัน ซึ่งในการแปลจากอังกฤษเป็นไทยนั้น ผู้แปลต้องขึ้นต้นประโยคใหม่คือผู้แปลจะต้องทำกริยาไม่แท้ให้เป็นกริยาแท้ในประโยคใหม่
3. ชนิดของคำประเภทอื่น นอกจากคำนามกับคำกริยาแล้ว ยังมีคำบุพบท (preposition)ซึ่งสามารถอยู่หลังวลีหรือประโยคได้ แต่ในภาษาไทยไม่มี เช่น I don't have a chair to sit on. แต่ในภาษาไทยคือ ฉันไม่มีเก้าอี้ที่จะนั่ง นอกจากนี้ยังมีคำ คุณศัพท์(adjective)ซึ่งต้องใช้คู่กับคำ V.to be เช่น He is clever.
หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
หน่วยสร้าง (construction) เป็นหน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้าง ได้แก่ หน่วยสร้างนามวลี (noun phrase construction) หน่วยสร้างกรรมวาจก(passive construction) หน่วยสร้างคุณานุประโยค(relative clause construction) เป็นต้น
2.1)หน่วยนามวลี (noun phrase construction) : ตัวกำหนด (determiner) + นาม (อังกฤษ)VS.นาม(ไทย) นามวลีในภาษาอังกฤษมีตัวกำหนด เช่น My father is a lawyer. ส่วนในภาษาไทยไม่มีคำประเภทนี้
2.2)หน่วยสร้างนามวลี : ส่วนขยาย+ส่วนหลัก (อังกฤษ)vs.ส่วนขยาย(ไทย) ในภาษาอังกฤษวางส่วนขยายไว้ข้างหน้าส่วนหลัก ส่วนภาษาไทยตรงกันข้าม เมื่อเราแปลจากอังกฤษเป็นไทยถ้าส่วนขยายไม่ยาว เราก็ย้ายแต่ส่วนขยายจากหน้าไปหลัง
2.3) หน่วยสร้างกรรมวาจก (passive construction) ในภาษาอังกฤษมีหน่วยสร้างเรียกว่า กรรมวาจก คือ ประธาน / ผู้รับการกระทำ + กริยา (V.to be + past participle + by + ผู้กระทำ) แต่ในภาษาไทยหน่วยสร้างกรรมวาจกมีหลายรูปแบบ ซึ่งในภาษาไทยจะเรียกว่า กรรตุวาจก เช่น สนใจ ชอบ เป็นต้น
2.4) หน่วยสร้างประโยคเน้น subject (อังกฤษ) กับประโยคเน้น topic (ไทย) ภาษาไทยเน้นtopic แต่ในภาษาอังกฤษเป็นภาษาเน้น
2.5) หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย (serial verb construction) จะไม่มีในภาษาอังกฤษ เป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยกริยาสองคำขึ้นไปมาเรียงต่อกัน เช่น เดิน- ไป-ดูหนัง เป็นต้น
ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อโครงสร้าง
คำว่าโครงสร้าง(structure) ซึ่งพจนานุกรม The American Heritage Dictionary of the English Language (1980:1278) ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้
1. a complex entity (ภาษามีโครงสร้าง)
2. The configuration of element (ภาษามีส่วนประกอบมากมาย)
3. The interrelation of parts or the principle of organization. (ส่วนประกอบในภาษามีความสัมพันธ์กัน หรือมีการจัดระเบียบของความสัมพันธ์)
โครงสร้างเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเรียนรู้ภาษา หากเราไม่มีความรู้ในเรื่องของโครงสร้างทางภาษาเราก็จะไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ หรือแม้ว่านักแปลมีความรู้เรื่องคำศัพท์แต่ไม่เข้าใจโครงสร้างภาษา ก็จะทำให้การแปลล้มเหลว ซึ่งพบว่าปัญหาทางโครงสร้างเป็นปัญหาหลักของผู้แปล
ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ
ชนิดของคำเป็นส่วนที่สำคัญของโครงสร้างภาษาอังกฤษ เมื่อเราสร้างประโยคเราจะต้องเลือกชนิดของคำให้ตรงกับหน้าที่ทางไวยากรย์ จึงจะทำให้ประโยคนั้นเกิดความหมายที่ถูกต้องตามไวยากรย์ อย่างไรก็ตามเราก็ควรคำนึงถึงการนำคำไปใช้จริงด้วย
1. คำนาม จะมีความสำคัญเฉพาะในภาษาอังกฤษ ในทางไวยากรย์เป็นลักษณะที่สำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้
1.1) บุรุษ(person) เป็นประเภทที่บอกว่าคำนามหรือคำสรรพนามหมายถึงผู้พูดบุรุษไหน ซึ่งมีการแยกตามบุรุษที่1 2 และ3 แต่ในภาษาไทยไม่มี
1.2) พจน์ (number) เป็นคำที่บอกจำนวน ในภาษาอังกฤษมี Determinerได้แก่ a/an นำหน้าคำนาม เอกพจน์ และการเติม –s ที่ท้ายท้ายศัพท์เพื่อทำเป็นพหูพจน์ แต่ในภาษาไทยจะไม่มี เพราะถือว่าหากใช้พจน์ก็จะทำให้เป็นภาษาไทยที่ไม่ถูกต้อง
1.3) การก (case) เป็นตัวชี้ว่าคำนามนั้นมีหน้าที่อะไร มีความสัมพันธ์กับคำอื่นอย่างไร เช่น The dog bit the boy. (มี dog เป็นผู้กระทำ) ซึ่งต่างกับ The boy bit the dog.(มีdogเป็นผู้ถูกกระทำ) นอกจากนี้ยังมีการกที่แสดงความเป็นเจ้าของ จะมีการเติม 's เช่น The teacher 's book.(หนังสือของครู) ซึ่งในภาษาไทยไม่มีการเติมหน่วยคำเพื่อแสดงการก แต่จะเรียงคำเหมือนการกในภาษาอังกฤษแต่การกเจ้าของในภาษาไทยต่างกับภาษาอังกฤษ เช่น “หนังสือครู” กับ “ครูหนังสือ”
1.4) นามนับได้ กับนามนับไม่ได้ (countable and un countable noun ) ในภาษาอังกฤษนามนับได้เอกพจน์ใช้ a/an และเติม 's กับนามนับได้พหูพจน์ ส่วนนามที่นับไม่ได้ก็ไม่ต้องเติม คำเหล่านี้ เช่น a grass of water ส่วนในภาษาไทยคำนามทุกคำสามารถนับได้ เพราะมีการใช้คำลักษณะนาม เช่น แมว 1 ตัว บ้าน 1 หลัง เป็นต้น
1.5) ความชี้เฉพาะ (definiteness) คำเหล่านี้จะมีความสำคัญในภาษาอังกฤษ เป็นการแยกความแตกต่างระหว่างคำนามชี้เฉพาะ(definiteness)กับคำนามไม่ชี้เฉพาะ(indefiniteness) โดยใช้ a/an และ the ตามลำดับ เช่น The man came to see you this morning. และ A man came to see you this morning. ส่วนในภาษาไทยนั้นจะไม่มีการใช้คำเหล่านี้ ดังนั้นเมื่อคนไทยแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษจะต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
2. คำกริยา เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของประโยคและมีความซับซ้อน เพราะมีเรื่องไวยากรณ์มาเกี่ยวข้อง ดังนี้
2.1) กาล (tense) ในภาษาอังกฤษต้องใช้บอกว่าเป็นอดีตหรือไม่ใช่อดีต แม้ว่าจะมีความหมายเหมือนกัน เช่น Mary likes him.กับ Mary liked him. ดังนั้นกาลจึงมีความจำเป็นในภาษาอังกฤษ แต่สำหรับในภาษาไทยไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ
2.2) การณ์ลักษณะ(aspect) บอกลักษณะของการกระทำหรือเหตุการณ์ ในภาษาอังกฤษใช้ (progressive aspect = V. to be+ present participle) เช่น This time last year I was climbing in the Alps. หรือใช้ (perfective aspect = V. to be+ past participle) เช่น He has been unhappy for the last three days and he still looks miserable. การณ์ลักษณะในภาษาอังกฤษจะติดกับกาลเสมอและถ้าหากประโยคมีกริยาหลายตัว กาลของกริยาจะต้องมีความสัมพันธ์กันในเรื่องของเวลาด้วย ส่วนในภาษาไทยถ้าเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องใช้คำว่า “กำลัง” หรือ “อยู่” เช่น ตอนนนี้เรากำลังรับประทานอาหารอยู่
ดังนั้นในภาษาอังกฤษการณ์ลักษณะเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะทุกประโยคจะต้องบอกเวลา แต่ในภาษาไทยไม่มีความสำคัญเพราะผู้อ่านสามารถตีความจากบริบทนั้นๆได้
2.3) มาลา(mood) ใช้กับคำกริยา เป็นตัวที่บอกว่าผู้พูดมีทัศนคติต่อเหตุการณ์หรือเรื่องที่พูดอย่างไร มีใช้แต่ในภาษาอังกฤษ เช่น เป็นประโยคสมมติที่เป็นไปได้หรือเป็นประโยคที่เปรียบเทียบบางสิ่งเสมือนอีกสิ่ง จะไม่ใช้กริยารูปธรรมดาแต่จะมีการเปลี่ยนรูปคำกริยา เช่น I wish I could fly. (กริยารูปปกติคือ can) ส่วนในภาษาไทยมาลาถูกแสดงโดยกริยาช่วยหรือวิเศษณ์ ไม่เปลี่ยนกริยา เช่น น่าจะ คงจะ บางที เป็นต้น
2.4) วาจก(voice) บอกความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับการกระทำโดยคำกริยา ว่าเป็นประธานหรือกรรม เช่น Frogs'legs are eaten in France. ส่วนในภาษาไทยคำกริยาจะไม่เปลี่ยนและในการแปลภาษาไทยกับอังกฤษ ประโยคกรรมในภาษาอังกฤษไม่เหมือนกับประโยคกรรมในภาษาไทย เช่น The building was designed by a famous architect.(อาคารหลังนี้ออกแบบโดยสถาปนิก)
2.5) กริยาแท้กับกริยาไม่แท้(finite vs. non-finite) ในภาษาอังกฤษ ในหนึ่งประโยคจะมีกริยาแท้ได้ตัวเดียวเท่านั้นและสามารถมีกริยาไม่แท้ได้ ส่วนในภาษาไทยกริยาทุกตัวมีรูปเหมือนกัน ซึ่งในการแปลจากอังกฤษเป็นไทยนั้น ผู้แปลต้องขึ้นต้นประโยคใหม่คือผู้แปลจะต้องทำกริยาไม่แท้ให้เป็นกริยาแท้ในประโยคใหม่
3. ชนิดของคำประเภทอื่น นอกจากคำนามกับคำกริยาแล้ว ยังมีคำบุพบท (preposition)ซึ่งสามารถอยู่หลังวลีหรือประโยคได้ แต่ในภาษาไทยไม่มี เช่น I don't have a chair to sit on. แต่ในภาษาไทยคือ ฉันไม่มีเก้าอี้ที่จะนั่ง นอกจากนี้ยังมีคำ คุณศัพท์(adjective)ซึ่งต้องใช้คู่กับคำ V.to be เช่น He is clever.
หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
หน่วยสร้าง (construction) เป็นหน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้าง ได้แก่ หน่วยสร้างนามวลี (noun phrase construction) หน่วยสร้างกรรมวาจก(passive construction) หน่วยสร้างคุณานุประโยค(relative clause construction) เป็นต้น
2.1)หน่วยนามวลี (noun phrase construction) : ตัวกำหนด (determiner) + นาม (อังกฤษ)VS.นาม(ไทย) นามวลีในภาษาอังกฤษมีตัวกำหนด เช่น My father is a lawyer. ส่วนในภาษาไทยไม่มีคำประเภทนี้
2.2)หน่วยสร้างนามวลี : ส่วนขยาย+ส่วนหลัก (อังกฤษ)vs.ส่วนขยาย(ไทย) ในภาษาอังกฤษวางส่วนขยายไว้ข้างหน้าส่วนหลัก ส่วนภาษาไทยตรงกันข้าม เมื่อเราแปลจากอังกฤษเป็นไทยถ้าส่วนขยายไม่ยาว เราก็ย้ายแต่ส่วนขยายจากหน้าไปหลัง
2.3) หน่วยสร้างกรรมวาจก (passive construction) ในภาษาอังกฤษมีหน่วยสร้างเรียกว่า กรรมวาจก คือ ประธาน / ผู้รับการกระทำ + กริยา (V.to be + past participle + by + ผู้กระทำ) แต่ในภาษาไทยหน่วยสร้างกรรมวาจกมีหลายรูปแบบ ซึ่งในภาษาไทยจะเรียกว่า กรรตุวาจก เช่น สนใจ ชอบ เป็นต้น
2.4) หน่วยสร้างประโยคเน้น subject (อังกฤษ) กับประโยคเน้น topic (ไทย) ภาษาไทยเน้นtopic แต่ในภาษาอังกฤษเป็นภาษาเน้น
2.5) หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย (serial verb construction) จะไม่มีในภาษาอังกฤษ เป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยกริยาสองคำขึ้นไปมาเรียงต่อกัน เช่น เดิน- ไป-ดูหนัง เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)