Cool Blue Outer Glow Pointer
ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของน็อต ปฏิภาณ ชมพัฒน์ครับ รหัส 5681114012

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning log outclass summaries

Learning log outclass summaries  
การค้นหาความรู้นอกห้องเรียน
       วัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่งของการจัดการหรือการหาความรู้นอกห้องเรียน คือการพัฒนาคนให้มีความรู้ ความคิด มีคุณธรรม เป็นคนที่มีความรู้ในสังคม โดยทำการหาความรู้โดยมีจุดมุ่งหมายหลักการของวิชาสอดคล้องกับการศึกษา การที่เรามัวแต่เรียนรู้ในห้องเรียนมันก็อาจทำให้เรารู้สึกมีความกดดัน ความเครียดขึ้นมาบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราควรจะเปิดโอกาสตัวเองในการเรียนรู้นอกห้องเรียนแต่ประโยชน์จะมีอะไรบ้างลองมาดูกันสัก 10 ข้อดังต่อไปนี้
10.พัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่นๆได้เป็นอย่างดี
การเรียนรู้นอกห้องเรียนจะช่วยพัฒนาทักษะความสามารถในเรื่องความสัมพันธ์อันดีงามมากขึ้นและช่วยให้เรามีความเชื่อมั่นในการพูดคุยกับผู้อื่นได้มากขึ้น ทำให้เราออกไปข้างนอกเปิดโลกกว้างได้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
9.ช่วยให้เราสามารถสำรวจค้นหาสิ่งที่เราชอบ
การเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยให้เราสามารถค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบได้อย่างอิสระ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก และก็เก็บความคิด ความรู้สึกเอาไว้ในใจตลอด ซึ่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนจะทำให้เราสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากขึ้น
8.ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเองมากขึ้น
คนที่ชอบเก็บตัวก็ได้ประโยชน์จากการหาความรู้นอกห้องเรียน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองมากขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถปรับปรุงพฤติกรรมและบุคลิกภาพของตัวเองได้เป้นอย่างดี
7.ช่วยให้เราผ่อนคลาย สบายใจ
การหาความรู้นอกห้องเรียนถือเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้เรามีความผ่อนคลายสบายใจใยยามที่เราเกิดความเครียดขึ้นมาถือเป็นแนวทางอย่างหนึ่งที่ช่วยบำบัดอาการต่างๆได้เป็นอย่างดี
6.ช่วยให้เราบริหารจัดการเวลาได้ดีขึ้น
การหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยให้เราบริหารจัดการเวลาได้ดีขึ้นมากในแต่ละวัน ทำให้เราวางแผนการทำงานได้อย่างเหมาะสมและมีความรอบคอบในการทำงานมากขึ้น
5.ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น
การหาความรู้นอกห้องเรียนช่วยให้เรามีความรับผิดชอบและรู้หน้าที่มากกว่าเดิมในการทำกิจกรรมต่างๆเช่น กีฬา ที่เราจะต้องตระหนักหนักถึงความรับผิดชอบกับทีมโดยส่วนรวมและยังทำให้เรากล้าเผชิญกับความท้าทายต่างๆมากขึ้นด้วย
4.ช่วยให้เราปรับอารมณ์ตนเองได้
แน่นอนว่าการหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยให้เราปรับอารมณ์ตัวเองกับปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดีทั้งในปัจจุบันและอนาคตทำให้เราฝ่าฟืนอุปสรรคต่างๆได้ไม่ยากนัก
3.ทำให้เรากล้าเข้าร่วมสังคมมากขึ้น
โลกของเราทุกวันนี้ เราจะต้องกล้าเข้าร่วมกับสังคมที่แตกต่างกันออกไปให้ได้ ซึ่งแน่นอนการหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้เราไม่รู้สึกว่าอยู่โดดเดี่ยวอีกต่อไป และก็ทำให้เราสามารถทำกิจกรรมร่วมกันกับสังคมได้อย่างสนุกสนาน
2.ช่วยเยียวยารักษาความกดดันได้เป็นอย่างดี
ทุกวันนี้ผู้คนแทบทุกคนก็ล้วนเผชิญกับความกดดันในชีวิตเป็นอย่างมาก จนมีการฆ่าตัวตายมากขึ้นทุกวัน ซึ่งการแก้ปัญหาที่ดีอย่างหนึ่งก็คือ การหาความรู้นอกห้องเรียนให้มากๆซึ่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนจะช่วยให้เราคลายความกดดันต่างๆลดลงเป็นอย่างมาก
1.ช่วยเพิ่มพลังชีวิตกับเรามากยิ่งขึ้น

สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ต่างๆเป็นตัวทำลายพลังงานของเราลดลงไปเรื่อยๆซึ่งการหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดีที่จะเป็นตัวช่วยสร้างความเข็มแข็งอดทนมากขึ้นและสร้างภูมิต้านทานโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี

Learning log outclass summaries

Learning log outclass summaries       
ความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ทำให้โลกมีวิวัฒนาการและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกันอย่างไร้พรมแดนในการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษให้ความสำคัญในเรื่องทักษะการอ่าน เพราะการอ่านนำเราไปสู่ความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านถ้าไม่อ่านเราไม่สามารถเข้าใจสาระนั้นได้จะเห็นว่าปัจจุบันนี้ การอ่านภาษาอังกฤษมีความจำเป็นมากเพราะสื่อต่างๆเป็นภาษาอังกฤษถ้าเราไม่มีความสามารถในด้านการอ่านเราจะไม่เข้าใจในเรื่องนั้นๆถ้าเราอ่านมากทำให้เราเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเสริมสร้างบุคลิกภาพ อ่านมากย่อมรู้มากมีข้อมูลมาก มีข้อมูลต่างๆสั่งสมไว้มาก เมื่อสนทนากับผู้อื่นย่อมมีความมั่นใจไม่ขัดเขินเพราะมีภูมิรู้ สามารถนำมาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติให้ชีวิตมีคุณค่าและมีระเบียบแบบแผนที่ดีขึ้น
       ในการฝึกการอ่านครั้งนี้ ผมจะอ่านแบบ skimming ก่อน 1 รอบจากนั้นอ่านออกเสียงในใจขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น อ่านออกเสียงในการอ่านออกเสียงนั้นได้ฝึกเว้นวรรคตอนให้ถูกต้องใช้น้ำเสียงในการอ่านให้น่าฟังอ่านออกเสียงพยัญชนะสระวรรณยุกต์ คำ ให้ถูกต้องตามอัครวิถีอ่านด้วยอัตราเร็วที่เหมาะสม คือ อ่านไม่ช้าหรือเร็วจนฟังไม่ทันและบางครั้งอ่านในใจ การอ่านในใจพยายามเตือนใจตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่อ่าน ซึ่งการอ่านออกเสียงและการอ่านในใจขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้นพบว่ามีคำศัพท์บางคำที่ยังอ่านออกเสียงผิดอยู่และไม่รู้ความหมายและชนิดของคำ แต่ผมได้ลองอ่านออกเสียงและเดาความหมายจากบริบทและ affixes ดูก่อน จากนั้นไปเปิดหาความหมาย เช่นคำว่า moustache แปลว่าหนวดเป็นคำนาม unconscious แปลว่าขาดสติเป็น Adj. Frightened แปลว่าหวาดกลัวเป็น Verb
       เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ David เขาเกิดในอังกฤษ พ่อเสียชีวิตตั้งแต่เขาอยู่ในท้องแม่ ในครอบครัวน้องของเขาคือคนที่มีชื่อเสียงและรวยที่สุด หลังจากที่ได้แต่งงานกับเด็กหนุ่มนั้น น้าของเขาได้ทำการหย่ากับเด็กหนุ่มคนนั้นเนื่องจากต้องการเงินและทุบตีเธอ น้าไม่เคยมาที่บ้านของ David เลยหลังจากที่รู้ว่าแม่ของ David ท้อง น้าจึงมาหา น้าได้ถามคนใช้ของแม่ David ว่าเด็กในท้องน่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คนรับใช้บอกว่าน่าจะเป็นผู้หญิง ไม่นาน David ก็ออกมาลืมตาดูโลก แต่ทะว่าน้าไม่พอในเท่าไหร่ เพราะน้าชอบเด็กผู้หญิง เมื่อ David เกิดมาชีวิตของเขามีแต่ความสุขได้รับความรักจากแม่และพี่เลี้ยงเป็นอย่างดี
       แต่เมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบ ความสุขของเขาเริ่มหายไปแม่เขาเริ่มมีความสนิทสนมกับผู้ชายชื่อ Murdstone จากนั้นแม่ของ David และ Murdstone ได้ไปทำธุระกันสองอาทิตย์และ David ต้องอยู่กับพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงจึงพา David ไปเที่ยวทะเลที่บ้านเธอ 2 อาทิตย์ David มีความสุขมากที่ได้ไปเที่ยวที่เหล่านั้น แต่ขณะที่เดินทางกลับ David ก็ซึมเศร้าเพราะต้องกลับมา พี่เลี้ยงยังบอกอีกว่าแม่ของเขาแต่งงานกับ Murdstone ทำให้ David ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีกเพราะไม่เข้าใจทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย เมื่อกลับถึงบ้าน David เข้าไปร้องไห้ในห้องและแม่ของเขาก็เข้ามาจับมือและนั่งใกล้ๆแต่ในขณะนั้นเอง Murdstone ก็ได้เข้ามาเห็นและโกรธแม่ของ David มากเข้าข่มขู่และบังคับแม่ของ David ทุกอย่าง ถ้าไม่เชื่อฟังจะทุบตีและทำร้าย เขาควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านน้องสาวของ Murdstone ก็เข้ามาอยู่ในบ้านด้วย David ได้แต่สงสารแม่และหวังให้ทุกสิ่งดีขึ้น

       เมื่อได้อ่านเรื่องนี้มีความรู้สึกว่าชีวิตในวัยเด็กของ David มีทั้งความสุขแล้วความทุกข์ เมื่อสุขก็สุขมากทุกข์ก็ทุกข์มาก ผมคิดว่าการอ่านครั้งนี้เป็นการฝึกจินตนาการได้รับความรู้ทางด้านไวยากรณ์ฝึกการอ่านการแปลฝึกใช้ความคิดการตีความหมายต่างๆได้รับข้อคิดรวมไปถึงความเพลิดเพลินสอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน ที่มีความเจริญก้าวหน้ามีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาททำให้คนเราทุกคนต้องอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างเข้าใจเมื่อสนทนากับผู้อื่นย่อมมีความมั่นใจไม่ขัดเขินเพราะมีภูมิรู้

Summary Chart Of Tenses 18thAugust 2015

Summary Chart Of Tenses   18thAugust 2015
Tense
       Tense คือรูปแบบของกริยาที่แสดงให้เราทราบว่าการกระทำหรือเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง Tense นี่เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้ Tense ไม่ถูก เราจะสื่อสารกับเจ้าของภาษาไม่เข้าใจ เพราะประโยคในภาษาอังกฤษจะอยู่ในรูปของ Tense เสมอ ซึ่งต่างจากภาษาไทยว่าจะมีตัวบอกเวลากำกับอยู่แล้ว แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป Tense นี้มาเป็นตัวบอก ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับ Tense จึงเป็นเรื่องจำเป็น
Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่งออกเป็น 3 Tense ใหญ่ๆคือ
1.             Present tense ปัจจุบัน
2.             Past tense อดีต
3.             Future tense อนาคต
ในแต่ละ Tense ยังแยกย่อยได้ Tense ละ 4 แบบคือ
       1.Simple tense ธรรมดา (ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน)
       2.Continuous tense กำลังจะกระทำอยู่
       3.Perfect tense สมบูรณ์ (ทำเรียบร้อยแล้ว)
       4.Perfect continuous tense สมบูรณ์ในขณะกำลังกระทำ
โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 มีดังนี้
Present
1.1      S+Verb1 (บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆไม่ซับซ้อนมาก)
1.2      S+V be +Verb ing  (บอกว่ากำลังทำอะไรอยู่)
1.3      S+have,has+V3 (บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึงปัจจุบัน)
1.4      S+have,has+been+V.ing (บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำต่อไปอีก)

Past
2.1 S+V2  (บอกสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต)
2.2 S+was, were+Ving (บอกสิ่งที่กำลังทำในอดีต)
2.3 S+had+V3 (บอกสิ่งที่ทำในอดีตช่วงเวลาหนึ่ง)
2.4S+had+been+Ving  (บอกสิ่งที่ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องในอดีต)
Future
3.1S+will,shall+Verb1 (เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต)
3.2S+will,shall+be+V.ing (บอกว่าอนาคตกำลังทำอะไรอยู่)
3.3S+will,shall+have+V3 (บอกเรื่องที่จะสำเร็จในอนาคต)

3.4S+will,shall+have+been+Ving (บอกสิ่งที่กำลังจะทำและสำเร็จในอนาคต)

Learning Log 29th September 2015

Learning Log   29thSeptember 2015
       จากที่เคยสังเกต อ่านจากหนังสือบ้าง กระทู้บ้าง ศึกษาจากคนรอบข้างบ้าง ก็ได้พบข้อสงสัยว่าทำไม คนไทยถึงไม่เก่ง หลีกเลี่ยง บางคนเข้าขั้นเกลียดภาษาอังกฤษเลยทีเดียว ส่วนใหญ่แล้วตอนเด็กๆเราจะถูกสอนมาด้วย pattern ที่คล้ายๆกันคือ การจะทำให้สามารถสื่อสารกับคนอื่นด้วยภาษาอังกฤษได้ คือต้องเก่ง Tenseต้องเก่งศัพท์ ซึ่งหลักสูตภาษาไทยก็จะเป็นรูปแบบของการท่องจำ แทนที่จะเน้น ความเข้าใจ ครูผู้สอนต่อให้รู้ว่าตอนสอนให้ท่องจำก็ยังคงดำรงไว้ซึ่งความล้าหลังดังกล่าว ผลลัพธ์ของความคิดนี้ทำให้เราต้องมานั่งเรียนเรื่อง Tense ตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัยไม่จบไม่สิ้น ต้องมาท่องศัพท์ต่างๆนาๆและเอาไปใช้ในชีวิตจริงไม่เป็น จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง งูๆปลาๆ ส่งผลให้คนที่จบมานั้น ได้แค่ระดับพื้นฐานของภาษาอังกฤษเท่านั้น
       เคยเป็นกันไหม ท่อง tense เป็น 10 แต่เวลาจะพูดกับฝรั่งจริงๆนึกไม่ออกว่าจะใช้ tense ไหนทำไมพูดไม่เห็นคล่องซักที ฟังในคลิปจาก youtube ไม่รู้เรื่องเลย ที่เป็นแบบนี้เพราะสิ่งที่สอนในห้องเรียนเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น โรงเรียนไม่สอนการเอาไปใช้จริง เรียนเพื่อสอบ สอบเสร็จก็ลืม ไม่ทำให้เห็นความน่าสนใจ ไม่เห็นถึงความสนุกของภาษา ทำให้เราไม่อยากแตะภาษา ไม่เก่งซักที
เราจะทำยังไงดี…….ง่ายๆก็คือ ก็ทำให้ชอบภาษาเลยสิ ขอยกตัวอย่างของผมกันนะครับ
ก่อนอื่นเลยค้นหาว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร
       สิ่งที่ชอบไม่จำเป็นต้องมีสาระ เราชอบอยู่หน้าคอม ชอบเล่นเกมมากๆ อ่านการ์ตูน ดูหนังซีรีส์ ฟังเพลง ที่กล่าวมาคนส่วนให้ชอบทำกัน และผมก็ไม่ชอบที่จะมานั่งอ่านหนังสือวิชาการสมาธิสั้นทุกทีต้องมาอ่าน topic น่าเบื่อๆ รวมถึงหนังสือ grammar ภาษาอังกฤษ ต่างๆนาๆอ่านไม่เคยจบเล่มเลย
       เราก็เลยตัดสินใจเอาหนังสือที่เอาไว้ศึกษาภาษาอังกฤษไว้ในห้องเก็บของไม่ต้องไปแตะมันหยิบออกมาตอนที่จำเป็นเท่านั้น ผมจะศึกษาใน Internet เนี่ยแหละ แล้วจดมันด้วยวิธีที่เราจะเปิดดูได้ทุกเวลา
จำไว้ว่าไม่จำเป็นฝึกเหมือนคนอื่น
       เคยมีคำถามหรือถามคนอื่นไมว่า ศึกษากันยังไง เรียนเพิ่มเติมที่ไหน คนเรามีความสามารถการรับรู้ต่างกันและมีความถนัดต่างกัน เวลาว่างของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่คุณมีเวลาเปิด yputube ก็แสดงว่าคุณมีเวลาฝึกแล้ว สละเวลาซัก 10 นาที ดูคลิปฮาๆซักคลิปแล้วพยายามเก็บเกี่ยวภาษาจากคลิปนั้นก้อถือว่าเป็นการฝึกแล้ว



Learning Log 25th August 2015

Learning Log   25thAugust 2015
       หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยในชีวิตคืออยากเก่งภาษาอังกฤษมีวิธีฝึกอย่างไร ภาษาอังกฤษเป็น Life time learning หรือเรียนทั้งชีวิตไม่มีทางลัดไม่มีทางเร็ว มีแต่ทางเริ่ม ผมใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมาเกิน 5 ปีแล้ว คิดว่าเยอะแล้ว แต่พอมาเจอระดับมหาวิทยาลัยผมกลายเป็นวัยเริ่มต้นไปเลยมีคนเก่งกว่าเราอีกเยอะตลอกเวลามีคำศัพท์จำนวนมากมายที่ผมไม่รู้หลายๆประโยคที่อ่านแล้วไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ภาษาอังกฤษเป็นภาษาของโลก ใครรู้ภาษาอังกฤษก็สามารถคุยได้ทั่วโลกทั้งการต่อยอดการศึกษา การทำงานและการค้า สำหรับประเทศไทยเป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วว่าภาษาอังกฤษเพิ่มโอกาสได้เข้าทำงาน เท่านั้นไม่พอความรู้ภาษาอังกฤษช่วยให้ได้งานเงินเดือนสูง งานฝ่ายขายต่างประเทศ งานจัดซื้อต่างประเทศ งานเหล่านี้เริ่มต้นที่ 20,000 – 50,000 บาททั้งสิ้น ส่วนการค้าหรือถ้าจะทำงานบริการก็รับจ้างรับเขียน รับแปล งานกับชาวต่างชาติก็ได้เงินเยอะมาก
ทำไมการท่องจำภาษาอังกฤษไม่เวิร์ค
       สิ่งแรกที่ผมขอบอกเลยคือ อย่าพยายามท่องจำเพราะการท่องจำไม่ได้ช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษ ท่องเท่าไหร่ก็ลืมเท่านั้น วิธีพัฒนาความสามารถด้านภาษาอังกฤษเกิดได้ทางเดียวคือใช้งานเยอะจริงๆส่วนการอ่านหนังสือ การฟังบทสนทนา เป็นการพัฒนาความรู้ความเข้าใจและลับคมด้านภาษาไม่ให้สึกหรอ
อาทิตย์ที่ผ่านมาผมฝึกฟังภาษาอังกฤษผ่าน Youtube
       ใช้บ่อยสุกคือ youtube พวกพูดอย่าง TED talk และ Pod Cast ที่ Blogger ฝรั่งชอบบันทึกแล้วนำไปเผยแพร่บน Blog การฟังเป็นการฝึกทักษะที่มีประสิทธิภาพมากเพราะต้องใช้สติและสมาธิสูง ข้อมูลจะเข้าหัวได้ดีกว่าการฟังจากการดูหนังฝรั่ง
       ปัญหาของภาพยนตร์ฝรั่งแบบอเมริกันคือภาษาอังกฤษแบบ US จะพูดเร็ว เป็นภาษาแสลงและภาษาโจ๋ๆที่เข้าใจยาก แต่ผมก็ยังชอบการดูหนังเพราะศัพท์เหล่านั้นใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเป็นภาพยนตร์อังกฤษอันนี้มีความเป็นภาษาที่ฟังออกและเข้าใจง่ายกว่าเยอะที่ผ่านมาคนมักแนะนำให้ดูหนังฝรั่งเพื่อฝึกภาษาแต่ผมแนะนำให้ฟังผ่าน talk show ของนักพูดใน youtube ดีกว่า เพราะคนเหล่านี้มีภาษาพูดที่ถูกต้องและชัดเจนกว่าเยอะ คุณสามารถทดสอบความแตกต่างได้โดยการเข้า youtube ไปดู clip หนังฝรั่งอเมริกันแล้วลองไปดู clip สอนพูดโดย Roger Love จะเห็นว่าแตกต่างกันมากในด้านความชัดเจนของภาษา

       นี่คือวิธีของผมในกรเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ต้องทำสม่ำเสมอ ตลอดเวลาที่ผมอยู่มหาลัยผมรู้ตัวว่าต้องดิ้นรนเอาตัวรอด เรามาสายนี้แล้ว เราต้องทำมันให้ดีที่สุด อย่าเอาตัวเราไปเทียบกับใครว่าใครอ่อนกว่าหรือเก่งกว่า จงทำให้เต็มความสามารถ แต่จงอย่าเห็นแก่ตัว เพราะคนสมัยนี้มีความเห็นแก่ตัวเป็นอย่างมาก

Learning Log 22th September 2015

Learning Log 22thSeptember 2015
ประสบการณ์ของผม
       จะมีเกมโปรดประจำ ที่ต้องเล่นเป็นทีม ผมเล่นเกมนี้เกือบทุกวัน คือ เล่นเก่ง จนมีเพื่อนๆในเกมมากมายที่ไม่รู้จัก หลายประเทศ มาเล่นกันเป็นทีมและได้พูดผ่าน Teamspeak ประสบการณ์ครั้งแรกของผมคือ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ผมได้แต่พิมพ์ โดยแปลคำจาก Google translate กว่าจะได้ซักประโยคหนึ่งลำบากมาก เพราะอ้างอิงโครงสร้างจากภาษาไทยทำให้ประโยคเพี้ยน ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันยากขนาดนั้น
       ผมอยู่แบบนี้หลายเดือนจนได้ยินคำศัพท์จากเพื่อนที่พูดรวมกับสถานการณ์ทำให้คิดภาพบริบทออกได้ยินบ่อยๆจนชิน ผมก็เลียนสำเนียงเขาได้ ต่อมาก็มาฟังรู้เรื่องว่าเขาคุยอะไรกันแต่ผมไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ จะใช้คำสั้นๆ พูดตอบโต้ก็คุยกันรู้เรื่อง
        จนตอนนี้ ผมรู้ว่า คำนี้หมายถึงอะไร แต่ไม่รู้ว่ามันตรงกับคำไหนในภาษาไทย ผมเข้าใจว่าการเรียบเรียงภาษาอังกฤษมันต้องเป็นประสบการณ์ตรงโดยไม่ใช้ทัศนคติจากภาษาไทยเพราะจะทำให้เข้าใจผิดเหมือนเมื่อก่อนประโยคไหนที่จะใช้ในอนาคตผมจะใส่ will ตลอดแต่ความจริงคือ แต่แปลงคำศัพท์บางตัวเท่านั้นเอง
        ภาษาอังกฤษที่ได้จากเกมบางคนก็ว่าได้ความรู้ความสามารถเยอะบางคนกลับบอกว่าได้น้อยนั้นอาจเป็นเพราะว่าเข้าไม่ได้เล่นเกมที่สนทนาแบบจริงจัง บางคนบอกว่าเกมช่วยได้ไม่มากการดูหนังต่างประเทศแบบ subtitle ช่วยได้มากกว่าเพราะมีบทสนทนาที่เราคุ้นเคยได้มากกว่า
        อย่ามีข้ออ้างในการฝึกภาษาอังกฤษ แต่คุณมีเวลาเปิด Youtube ก็แสดงว่ามีเวลาฝึกแล้ว สละเวลาซัก 10 นาทีหาคลิปตลกๆและพยายามเก็บเกี่ยวภาษาจากคลิปนั้นก็ถือเป็นการฝึกแล้ว


Learning Log out classes 15th September 2015

Learning Log out classes   15thSeptember 2015
กระบวนการคิดของมนุษย์
       คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งของมนุษย์คือ ผู้รู้คิดจากการรู้คิดนี้เองนำไปสู่กระบวนการคิดเริ่มจากการตีความ พิจารณา ไตร่ตรอง สิ่งที่ได้จาก ผัสสะ แล้วสรุปเป็นความรู้อย่างอื่นอย่างใดแล้วเก็บความรู้สึกสะสมนั้นไว้เพื่อใช้เป็นพื้นฐานหรือความรู้เดิมที่ใช้ในการเปรียบเทียบและตัดสินใจสรุปความรู้ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น เด็กที่เข้าเรียนในชั้นเรียนเป็นครั้งแรกในชีวิต มีหญิงสาวตัวผอมๆคนหนึ่งเข้ามาอยู่หน้าชั้นเรียนแล้วบอกตัวเธอเป็นครู แล้วก็สอนให้อ่านหนังสือประสบการณ์จากตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ผ่านกระบวนการคิดเกิดความเข้าใจสรุปได้ว่าครูคือหญิงสาวตัวผอมๆที่ทำหน้าที่สอนหนังสือและเรียกว่าครูเช่นกัน เป็นจินตภาพอีก 1 ครั้งและจะทำการเปรียบเทียบกับจินตภาพเดิม เห็นความเหมือนและแตกต่างเกิดความเข้าใจว่าผู้ซึ่งเป็นครูนั้นอาจเป็นผู้หญิงหรือชายก็ได้ แต่ทำหน้าที่สอนหนังสือเหมือนกัน
       กระบวนกาคิดของมนุษย์มิได้หยุดเพียงการสร้างมโนภาพ ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ที่เกินความกว้างกว่าความรู้เดิมเท่านั้น แต่ยังเก็บความรู้นั้นเข้าไว้ในความทรงจำเพื่อใช้เป็นความรู้เปรียบเทียบกับประสบการณ์เดิมที่ได้รับรู้ ความรู้ที่ถูกเก็บไว้ในความทรงจำนั้นจะกลายเป็นความรู้เดิมที่มีความหมายกว้างๆเมื่อมีการรับรู้ใหม่เข้ามา กระบวนการคิดของมนุษย์จะตีความพิจารณาไตร่ตรอง เปรียบเทียบแล้วทำการอนุมานสรุปออกมาเป็นความรู้ที่เกิดจากความรู้เดิมมาเป็นหลักฐานสนับสนุน เช่น ความรู้ที่ว่า ครูคือผู้สอนหนังสือความทรงจำเก็บไว้เป็นความรู้เดิมที่ใช้เปรียบเทียบความรู้ใหม่
       สรุปได้ว่ากระบวนการคิดของมนุษย์ เริ่มจากการตีความพิจารณาไตร่ตรอง ผัสสะที่ได้รับทางหู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ เกิดความเข้าใจผัสสะนั้น สรุปออกมาเป็นความรู้เฉพาะครั้ง แล้วนำความรู้หลายครั้งมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ สรุปออกมาเป็นความรู้ที่เป็นส่วนรวม ทั้งยังนำความรู้ที่ใช้เก็บไว้ในความทรงจำเพื่อนำมาคิดอนุมานใช้ในการสรุปหาความรู้ใหม่เพิ่มเติมโดยไม่ต้องอาศัยประสบการณ์ตรงๆแต่อาศัยการคิดที่เกี่ยวเนื่องกันจะเห็นได้จากสรุปหาความรู้ใหม่เพิ่มแต่ละครั้งจะต้องนำความรู้เดิมมาเป็นหลักฐานสนับสนุนเสมอ